ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีบริษัทผู้ให้บริการท่าเรือแม่น้ำเอกชนหลายรายที่เข้ามาทำหน้าที่ให้บริการรับจัดการตู้สินค้าบริเวณแม่น้ำสายหลักแห่งนี้ เพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างสายการเดินเรือและผู้นำเข้า-ส่งออก ซึ่งผู้ให้บริการแต่ละรายต่างก็มุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับบริการให้สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้บริการให้มากที่สุด โดยหนึ่งในท่าเรือแม่น้ำเอกชนที่มุ่งมั่นขยายบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการที่ครอบคลุม และมีเป้าหมายที่จะให้บริการที่เป็นมากกว่าท่าเรือทั่วไป ก็คือท่าเรือชั้นนำอย่าง สหไทย เทอร์มินอล
หลังจากก่อตั้งท่าเรือมาเป็นระยะเวลาเก้าปี ปัจจุบัน สหไทย เทอร์มินอล เป็นท่าเรือที่มีการขยายบริการจนเรียกได้ว่าแทบจะครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าได้ในที่เดียว ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายขอบข่ายบริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งแน่นอนว่าการบริหารงานที่ทรงประสิทธิภาพนี้ย่อมมาจากการวางเป้าหมายที่ชัดเจน บวกกับวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้บริหารท่าเรือฯ อย่าง คุณทวีศักดิ์ และ คุณเสาวคุณ ครุจิตร ผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ซึ่งมีจุดหมายในการพัฒนาท่าเรือแม่น้ำเอกชนที่ให้บริการอย่างครบวงจร และไม่เพียงตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการได้เป็นอย่างดีเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายที่จะทำให้ท่าเรือฯ เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน
More Than a Container Terminal
หากลองมองย้อนกลับไปตั้งแต่การเริ่มก่อตั้งบริษัทฯ ถือได้ว่า สหไทย เทอร์มินอล จำกัด มหาชน มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสามารถแบ่งธุรกิจหลักของบริษัทฯ ออกเป็นสี่ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจท่าเทียบเรือเชิงพาณิชย์ โดยสหไทย เทอร์มินอล มีท่าเทียบเรือบาร์จทั้งหมดสองท่า และท่าเทียบเรือฟีดเดอร์อีกจำนวนหนึ่งท่า สามารถรองรับตู้สินค้าได้รวมประมาณ 500,000 ทีอียูต่อปี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ร่วมทุนกับสายการเดินเรือชั้นนำอย่าง MOL เปิดบริษัท Bangkok Barge Terminal (BBT) ในปี 2015 เพื่อให้บริการท่าเรือบาร์จอีกจำนวนหนึ่งท่า ตั้งอยู่ห่างจากท่าเรือแห่งแรกเพียง 2 กิโลเมตร ซึ่ง BBT ถือเป็นท่าเรือแม่น้ำแห่งแรกในไทยที่ได้รับใบอนุญาต ICD นอกจากนี้ ธุรกิจท่าเทียบเรือเชิงพาณิชย์ของสหไทยยังให้บริการครอบคลุมการบรรจุและขนถ่ายสินค้าเข้าตู้สินค้า (Container Freight Station หรือ CFS) และบริการซ่อมแซมและทำความสะอาดตู้สินค้า (Container Depot) ด้วย ซึ่งในปี 2017 นี้เอง สหไทย ได้ขยายธุรกิจโดยก่อตั้ง บริษัท Bangkok Container Depot Service (BCDS) ขึ้น เพื่อให้บริการในส่วนนี้โดยเฉพาะ
ชมวิดีโอ ข้อได้เปรียบของ ICD ใหม่ Bangkok Barge Terminal
ขณะที่ธุรกิจที่สองคือ การให้บริการขนส่งสินค้าทางบก โดยครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และบริเวณพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนธุรกิจที่สามคือ ธุรกิจบริการพื้นที่จัดเก็บตู้สินค้าและคลังสินค้า โดยมีทั้งคลังสินค้าทั่วไป คลังสินค้าปลอดอากร พื้นที่สำหรับสินค้าทั่วไป และพื้นที่จัดเก็บสินค้าปลอดอากร และธุรกิจสุดท้ายเป็นธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ บริการตัวแทนผู้รับจัดการสินค้า และการให้เช่าพื้นที่สำนักงานต่างๆ และแม้บริการปัจจุบันที่สหไทย เทอร์มินอลให้บริการดูจะครอบคลุมเกือบทุกความต้องการของลูกค้าแล้ว แต่ท่าเรือเอกชนแม่น้ำแห่งนี้ ก็ยังไม่หยุดพัฒนาบริการแต่เพียงเท่านี้
คุณเสาวคุณ กล่าวว่า “ตอนที่ก่อตั้งบริษัทฯ ความตั้งใจแรกของผู้ก่อตั้งคือ การให้บริการที่มาก กว่าท่าเรือ เรามีเป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการอย่างครบวงจร โดยไม่เพียงให้บริการแก่สายการเดินเรือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้นำเข้าและผู้ส่งออกด้วย เรามองว่าท่าเรือเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมระหว่างผู้นำเข้า-ผู้ส่งออกกับสายการเดินเรือ ดังนั้น หน้าที่สำคัญของเราคือการวิเคราะห์ว่าสายการเดินเรือต้องการอะไร และผู้นำเข้า-ส่งออกต้องการอะไร ตัวเราเองก็มีบทบาทของการเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกเหมือนกัน ทำให้เรามีความเข้าใจว่าผู้ใช้บริการต้องการอะไร ต้องการเสริมหรือพัฒนาบริการในส่วนไหน จากนั้นจึงนำความต้องการของทั้งสองฝ่ายมาบริหารจัดการ เพื่อสร้างบริการที่ตอบโจทย์มากที่สุด เพราะฉะนั้น ท่าเรือของเราจะมีบริการที่แตกต่าง เนื่องจากมีการพัฒนาทุกรูปแบบ ตั้งแต่เรือขนส่งสินค้าชายฝั่ง เรือขนส่งระหว่างประเทศ บริการ Container Freight Station บริการ Container Depot คลังสินค้า บริการตัวแทนผู้รับจัดการสินค้า และขนส่งทางบก โดยเราวางแผนพัฒนาบริการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด”เมื่อไม่นานมานี้ สหไทย เทอร์มินอล ได้ก้าวสู่อีกหนึ่งขั้นความสำเร็จ หลังจากที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นเอกสารเพื่อเสนอขายหุ้นทั่วไป (IPO) เพื่อระดมทุนในการขยายและต่อยอดธุรกิจไปเมื่อช่วงต้นปี 2017 ในเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา สหไทย เทอร์มินอล ก็ได้รับการอนุมัติให้สามารถขายหุ้นได้ โดยเป้าหมายของการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ หวังว่าจะนำเงินทุนที่ได้มาช่วยลดค่าใช้จ่าย และเป็นส่วนสำคัญในการขยายโครงการต่างๆ ที่บริษัทฯ ได้วางแผนเอาไว้ เพื่อพัฒนาบริการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
คุณบัญชัย กล่าวว่า “ตั้งแต่วันที่บริษัทฯ ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีจนถึงวันที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ใช้ระยะเวลาเพียงประมาณหกเดือน ซึ่งถือว่าค่อนข้างเร็ว ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสหไทย เทอร์มินอล มีการวางแผนและกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบตั้งแต่เริ่มต้น เรามีการจัดตั้งให้มีคณะกรรมการตรวจสอบซึ่งมีกรรมการอิสระ (Independent Directors) ที่เราเชิญเข้ามาร่วมงานตั้งแต่วันแรกที่เริ่มปฏิบัติงาน เพราะฉะนั้น ขั้นตอนการดำเนินงาน การเสนอโครงการ และการอนุมัติต่างๆ จะต้องมีลำดับขั้น และทำงานตามหลักมาตรฐานสากล ซึ่งหลังจากระดมทุนแล้ว เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะนำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ชำระคืนเงินกู้ และเพื่อขยายธุรกิจ และการบริการต่างๆ ที่เราได้วางแผนไว้ ทั้งนี้เพื่อขยายงานบริการให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการยกระดับบริการปัจจุบันที่เราให้บริการอยู่อีกด้วย”
อย่างไรก็ตาม สหไทย เทอร์มินอล ไม่ได้เพียงตั้งเป้าหมายเพื่อพัฒนาบริการของตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาและส่งเสริมบริการโลจิสติกส์ร่วมกับพันธมิตรให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกันด้วย “แนวความคิดสำคัญที่สหไทย เทอร์มินอล เชื่อมั่นมาตลอดก็คือ การเปลี่ยนคู่แข่งให้เป็นพันธมิตรทางการค้าเพื่อเติบโตไปพร้อมกันอย่างแข็งแกร่ง โดยแทนที่จะแข่งขันกัน เรามองว่าทุกฝ่ายควรหันมาร่วมมือกันและช่วยเหลือกันมากกว่า เพราะท้ายที่สุด ทั้งสองฝ่ายก็ประสบความสำเร็จทั้งในแง่การลดต้นทุนและก้าวหน้าไปพร้อมกันด้วย” คุณเสาวคุณ กล่าว
คุณบัญชัย กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบัน เราได้เป็นพันธมิตรร่วมกับท่าเรืออื่น โดยสนับสนุนการปฏิบัติ การของกันและกัน ตัวอย่างเช่น ท่าเรือของเราเป็นท่าเรือที่มีสินค้าส่งออกมากกว่าสินค้านำเข้า เราก็ร่วมมือกับท่าเรือที่มีสัดส่วนการนำเข้ามากกว่าส่งออก เพื่อลดค่าใช้จ่ายสูญเปล่า ถือเป็น synergy ที่ 1+1 = 3 ตามแนวคิดแบบ modern thinking เพราะท้ายที่สุดแล้ว การร่วมมือกันจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งและก้าวหน้าร่วมกัน อีกทั้งยังเป็น การช่วยกันพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย” คุณบัญชัย กล่าว
นอกเหนือจากการสร้างพันธมิตรในระดับชาติและนานาชาติแล้ว อีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและมีส่วนสำคัญให้องค์กรก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องก็คือ ความสามัคคีในองค์กร คุณเสาวคุณ กล่าวว่า “สิ่งหนึ่งที่เรามุ่งปลูกฝังพนักงานของเรามาโดยตลอดคือ การทำงานร่วมกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เราดูแลพนักงานทุกคนด้วยความใส่ใจ พนักงานทุกคนเป็นบุคลากรขององค์กรเราเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่ทำงานในสำนักงานหรือฝ่ายปฏิบัติการก็ตาม ที่สหไทย เราดูแลและใส่ใจบุคลากรทุกฝ่ายอย่างดีที่สุด มีการสร้างบรรยากาศการทำงานที่น่าอยู่ มีการอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมหน้าที่การงานให้ก้าวหน้า”
นอกจากนี้ อีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้สหไทย เทอร์มินอล มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งก็คือ ความรัก ความเข้าใจ และความตั้งใจที่จะพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้า “เรามองว่าทุกวันนี้เราทำเพื่อองค์กร เราทำเพื่อพัฒนาร่วมกัน เรารักในอาชีพที่ทำ เรารักพนักงานของเรามาก พนักงานเองก็รู้จักเรา ไม่ใช่ในฐานะผู้บริหาร แต่ในฐานะของคนที่ทำงานจริง ซึ่งการร่วมมือกันและการรักในองค์กรนี้เองที่ทำให้งานทุกอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ” คุณเสาวคุณ กล่าว
ด้วยการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ที่มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า สหไทย เทอร์มินอล ถือเป็นองค์กรที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืนและเข้มแข็ง เพราะสหไทย เทอร์มินอล ไม่เพียงมุ่งหวังที่จะเป็นท่าเรือแม่น้ำเอกชนชั้นนำของประเทศเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรชั้นนำ และเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เกี่ยวกับสหไทย เทอร์มินอล
สหไทย เทอร์มินอล เป็นบริษัทเอกชนที่เริ่มเปิดดำเนินกิจการครั้งแรก เมื่อปี 2550 โดยบริษัทฯ มีพื้นที่ในการปฏิบัติการรวมมากกว่า 168,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย พื้นที่ซ่อมบำรุงตู้สินค้า สำนักงานศุลกากรภายในท่าเรือ และมีเครื่องมือประจำท่าเรือเพื่อใช้ในการยกขนสินค้าอย่างครบวงจร พร้อมบุคลากรที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญ และด้วยทำเลที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของสหไทย เทอร์มินอล ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสะพานภูมิพลและถนนกาญจนาภิเษก ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ทำให้ลูกค้าสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวมถึงบริการครบวงจรที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกรูปแบบ
ติดต่อสอบถามรายละเอียดบริการของสหไทย ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ +66 (0) 2386 8000 หรือ e-mail: [email protected]